ตลท.คาดกำไรบจ.ปี 65 เติบโต แรงหนุนท่องเที่ยวฟื้น-ธุรกิจปรับตัว

0 Comments

“ผู้จัดการตลท.” คาดกำไรบจ.ปี 65 เติบโตจากปีก่อน หวังคุมระบาดโควิดได้ดี หนุนทุกกลุ่มอุตสาหกรรมฟื้นตัว แต่มีปัจจัยเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกพุ่ง กระทบต้นทุน “บล.เอเซีย พลัส” เพิ่มเป้ากำไรเป็น 1.05 ล้านล้าน มองเศรษฐกิจ-น้ำมันพุ่ง เป็นแรงหนุน

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2565 โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากงวดปี 2564 โดยได้แรงหนุนจากภาคธุรกิจที่กำไรยังกลับมาฟื้นตัวไม่เท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อาทิ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าเป็นจุดที่น่าสนใจ หากกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในปีนี้ ซึ่งมีโอกาสสูงจากที่ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น นอกจากนี้ บจ.ไทยมีการปรับตัวที่ดี

อย่างไรก็ดี กำไร บจ.ปีนี้ยังมีปัจจัยลบแวดล้อมเข้ามากดดันจากผลกระทบความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกปรับขึ้นสูง โดยคาดว่าจะส่งผลเชิงลบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อเนื่องว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะยุติลงในช่วงใด หากยุติได้เร็ว คาดว่าผลกระทบจะอยู่ในระดับต่ำ แต่หากลากยาว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่มีต้นทุนเป็นสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน

สำหรับความสามารถในการทำกำไรของ บจ.งวดปี 2564 พบว่ามีการฟื้นตัวกลับไปเทียบเท่าหรือมากกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว จากปี 2563 ที่กำไร บจ.ถูกกระทบร่วม 1 ปีเต็มจากผลกระทบการแพร่ระบาด นอกจากนี้ พบว่า ประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย กล่าวคือ สามารถทำกำไรได้มากขึ้นจากต้นทุนเท่าเดิม สะท้อนว่า บจ.ไทยสามารถปรับตัวได้ดี

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อกำไร บจ.ปี 2565 โดยได้แรงหนุนจากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น โดยคาดว่าจีดีพีปีนี้จะเติบโต 3.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ล่าสุด บล.เอเซีย พลัส ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 มาอยู่ที่ 88.90 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าราว 1.05 ล้านล้านบาท กลับไปยืนเหนือ EPS ปี 2562 หรือก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว จากเดิมคาดไว้ที่ 81.80 บาทต่อหุ้น

กำไรบจ.

นอกจากนี้ กำไร บจ.ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันดิบในช่วงต้นปีที่ยืนอยู่ในระดับสูงมากเฉลี่ย 87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าสมมติฐานของฝ่ายวิจัย 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบที่สูงกว่าสมมติฐานทุก 5 ดอลลาร์ จะเป็นแรงหนุนให้กำไร บจ.เพิ่มขึ้นราว 1 บาทต่อหุ้น ดังนั้น ประมาณการ EPS ปี 2565 จึงมีโอกาสส่วนเพิ่ม (อัพไซด์) ราว 4 บาทต่อหุ้น มาอยู่ที่ 92.90 บาทต่อหุ้น

อนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยข้อมูลผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดปี 2564 โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 13.1 ล้านล้านบาท เติบโต 23.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มียอดขาย 10.6 ล้านล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท เติบโต 68.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 9.2 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.8 แสนล้านบาท เติบโต 79.9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.4 แสนล้านบาท

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิมีการเติบโตมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท เติบโต 398.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยหลักเป็นการเติบโตจากธุรกิจเหล็กที่มีกำไรสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 2,987.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 578 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กลุ่มทรัพยากรยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุดที่ 2.8 แสนล้านบาท เติบโต 180.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.01 แสนล้านบาท โดยหลักเป็นการเติบโตของธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business/