รีวิว Don’t Look Up (Netflix) หนังรวมดาวฮอลลีวู้ดเสียดสีสังคมโลก

0 Comments

รีวิว Don’t Look Up (Netflix)

หลังจากได้ค้นพบดาวหางที่กำลังพุ่งชนโลกในอีกไมนักศึกษาปริญญาสาขาดาราศาสตร์ เคท และ ศาสตราจารย์ดาราศาสตร์ในมหาลัยมิชิแกน แมนดี้ ถูกเรียกตัวให้เข้าพบกับประธานาธิบดี ร่วมกับ ดร.โอเกอทอปในการเปิดเผยความจริงให้สาธารณะรู้ แต่กลับโดนเมินเฉยเหมือนเป็นเรื่องไม่จริงจัง พวกเขาจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันและทำลายชีวิตและการงานของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่ละพยายาม ออกเดินสาย เพื่อเปิดเผยข่าวให้ทั้งโลกกับสื่อมวลชน แต่กลับถูกมองข้ามและปฏิเสธ เวลาเริ่มนับถอยหลัง พวกเขาเริ่มถกเถียงกันว่า โลกใบนี้อาจจะสมควรแตก หรือ จะยอมปกป้องมัน แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายจะยังล้อเลียนถากถาง การออกตามหาทางแก้ไข และหยุดยั้งดาวหางจึงเริ่มขึ้น จากรัฐบาล สู่นักวิจัย จากนักข่าว สู่นักร้องดัง จากคนชั้นสูงสู่คนต่อต้านสังคม การตอบสนองที่แตกต่าง ทำให้ผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติกับดาวหางในคนละแบบ ทั้งชาญฉลาดและโง่เขลาที่อาจพลิกชะตากรรมของโลกทั้งใบได้ ด้วยภารกิจครั้งสำคัญของมนุษยชาติที่มีทุกอย่างในดาวดวงนี้เป็นเดิมพัน

การเดินเรื่องของหนังถือว่าค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ บิ๊วประเด็นหลักให้ชัด และให้เห็นสถานการณ์ของตัวละครที่ต้องเผชิญ แต่เอาจริง ๆ มันไม่ใช่หนังตลกแบบฮาแตก มุกขำก๊าก มันคือตลกร้ายที่สะท้อนสังคมโลกในยุคโลกกำลังวุ่นวายเพราะสภาวะเรือนกระจกให้กลายเป็นภัยพิบัติที่มาแบบไม่ต้องมีคำเตือนก่อนแบบเรื่อยเปื่อย ช่วงกลาง ๆ ค่อนข้างน่าเบื่อเพราะวนกับประเด็นเดิม ๆ ทำให้หนังแห้งแล้ง ก่อนที่หนังจะตบหน้าอย่างแรง ด้วยบทสรุปที่กล้าพูดได้เลยว่ามันน่าขัดใจแต่นั่นเป็นความตั้งใจในการเสียดสีผู้คนในเรื่องที่มันเป็นเรื่องไม่ต้องฉลาดก็น่าจะตัดสินใจในทางเลือก คือมันเสียดสีโลกแบบไม่ต้องเป็นแนวดราม่า แต่ให้เห็นตัวละครทำอะไรโง่ ๆ แล้วไม่จริงจังกับสถานการณ์โลกแตก กลับทำอะไรที่ดูตรงข้าม (แต่ใกล้เคียงกับภาพความจริงมาก) มันอาจจะทำให้คนที่หงุดหงิด อยากปิดหนังแล้วไปทำอย่างอื่นได้เลย แถมบางประเด็นก็มาแบบดื้อ ๆ ไม่ได้สำคัญมากกับเรื่องราว บางฉากที่ไม่ต้องมีก็ได้ อาจจะเพราะการตัดต่อของเรื่องที่ค่อนข้างไม่ดึงดูดและมั่วซั่วไร้ชั้นเชิงไปหน่อยเมื่อเทียบกับคอนเซปต์เรื่องที่มันเล่นให้น่าติดตามมากกว่านี้ กลายเป็นหนังธรรมดาที่หาทางลงไม่ได้เลยว่าจะเป็นตลกร้ายหรือสอนใจคนดูถึงวิกฤติธรรมชาติ เพราะหนังน่าเบื่อมาก

ตัวละครของเรื่องแม้จะมีมากมายแต่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่ากับตัวหลักมากกว่าที่คาดไว้ เพราะตัวหลัก ๆ จะมีแค่ มินดี้ อาจารย์ดาราศาสตร์ผู้ไร้ความมั่นใจและถูกเกลี้ยกล่อมให้ยินยอมทำตามสังคม แม้จะมีอุดมการณ์สำคัญแต่ก็ประนีประนอมก่อนเสมอ จนตัวเองใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า ตัวละครนี้ไม่ค่อยมีการสำรวจอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับ เคท นักศึกษาหญิงที่ตรงไปตรงมาไม่หวาดหวั่นแม้ใครหน้าไหน ไม่ยอมประนีประนอมจนโดนสังคมรุมรังแก จนกลายเป็นหายไปจากสังคม แม้ว่าเธอจะพูดความจริงมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยได้อะไรตอบแทน โดนแม้แต่ผู้คนกีดกันจนกระทั่งได้ปล่อยวาง ดร.โอเกอทอป นักวิทยาศาสตร์ที่คอยซัพพอร์ทแต่ก็ไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญนอกจากบอกว่าดาวหางจะชน บรี พิธีกรรายการข่าวหญิงผู้สุดเหวี่ยงและรักสนุก ประธานาธิบดีเจนี่ที่ทำตัวเอ้อระเหย ห่วงแต่ผลประโยชน์ทางทรัพย์สิน ไม่เคยสนใจคนชนชั้นล่าง คนชั้นแรงงาน พอมีนักวิทยาศาสตร์มาเตือน ก็หัวสถาบันนิยม ต้องเป็นคนเรียนจบมหาลัยดัง ๆ มีชื่อ ถึงจะเชื่อซะงั้น (โง่มาก) จนมันสายเกินไป แถมยังร่วมมือกับปีเตอร์ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีผู้คิดว่าตัวเองชนะทุกสิ่งด้วยทรัพยากรและความร่ำรวย กอบโกยด้วยความโลภจนนำหายนะมาสู่โลก ตัวร้ายจริง ๆ จึงไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นมนุษย์ที่เอาแต่ห่วงผลประโยชน์จนนำความวุ่นวายมาสู่สังคม และไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาอะไรเลยด้วย นอกนั้นก็มาแบบรับเชิญบทแทบไม่สำคัญอะไรที่ต้องเอานักแสดงดัง ๆ มาด้วยซ้ำ เหมือนให้มาเล่นผ่าน ๆ จิกกัดสังคมโลกไปงั้น ๆ

หนังสะท้อนภาพของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพที่ไม่ใส่ใจปัญหาของตัวเอง นอกจากคะแนนเสียงและความนิยม ทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่ง มิหนำซ้ำยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนายทุนในการส่งเสริมให้วัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ผู้คนใช้แต่มือถือและเทคโนโลยีจนเป็นเหตุให้เกิดความเหลื่อมล้ำความไม่เท่าเทียม วงการสื่อที่มองความสัญญาณอันตรายของโลกด้วยการกลบเกลื่อนและบิดเบือนไปมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลายเป็นตัวตลก ทั้งที่พวกเขารู้เรื่องมากกว่าใคร ๆ แต่เพราะไม่มีเครดิตโด่งดังหรือร่ำรวย บุคลิกไม่น่าดูก็ถูกตีค่าว่ามีจุดประสงค์ร้ายเมื่อออกมาทักท้วง กลายเป็นจำเลยสังคม คนในโลกให้ความสำคัญแต่กับปัญหาของตัวเอง และปิดใจไม่ยอมให้ความสำคัญกับคนรอบตัวที่หยิบยื่นให้ในยุคสังคมก้มหน้า การสร้างกระแสในหมู่คนดังที่มีความหมายในโซเชียล มากกว่าภัยธรรมชาติ หรือใช้การเมืองเป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก ทั้งที่มันเป็นสิทธิ์ในการแสดงความเห็น ความดิบเถื่อนของมนุษย์ เมื่อตัวเองเข้าตาจน พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด นิยามที่ว่า คนรวยที่โง่มักอยู่รอดเสมอ แม้ว่าคนจนที่ฉลาดจะพยายามมากแค่ไหน จะดูน่าเชื่อถือหรือโด่งดัง ก็โดนผู้นำหรือนายทุนกดทับจนกลายเป็นส่วนหนึ่ง หลงลืมตัวตน หรือแม้แต่ทอดทิ้งทุกประเทศเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แต่ก็ไม่รอบคอบเพราะความอยากได้ไม่มีสิ้นสุดที่ทำลายสังคมมนุษย์ แม้จะอ้างว่าเทคโนโลยีพัฒนาโลก แต่สุดท้ายธรรมชาติจะเอาคืนมนุษย์เสมอ

ในส่วนการตัดต่อถือว่าไม่เร้าอารมณ์ในสถานการณ์ในเรื่องเท่าที่ควรทำให้จังหวะของเรื่องดูเอื่อยเฉื่อยเรื่อยไป แต่การแสดงของ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ที่ตีบทแตกของบทจากหนุ่มเด๋อ ๆ เด๋อ ๆ ให้กลายเป็นที่สุดของความคลั่งแทบไม่มีอะไรต้องติ ในขณะที่เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ โชว์อารมณ์ที่หลากหลายระหว่างโกรธ เศร้า เฉยชา ร้องไห้ให้ดูตลก และจังหวะการเล่นที่เข้ากับลีโอนาโด และคงเป็นส่วนยอดเยี่ยมที่สุด ในขณะที่นักแสดงคนอื่นที่เหลือ ถือว่ามาตรฐานการแสดงและมีบทตลกและล้อเลียนประปรายจนไม่รู้สึกว่าโดดเด่นอะไร เพราะไม่ได้มีการฟาดฟันการแสดงนอกจากความตลก แต่ที่น่าเสียดายคือ อาริอาน่า กรานเดนั้นมีบทบาทที่น้อยและมาเป็นมุกตลกมากกว่าในไม่กี่ฉาก ก่อนจะมีฉากแบบเอ็มวีและโผล่มาเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ในเรื่อง ทำให้การมาของเธอไม่โดดเด่นเท่าเพลงประกอบที่จิกกัดสังคมและเพลงรักเศร้าเคล้าน้ำตา ส่วนในโปรดักชั่นถือว่ายิ่งใหญ่ไม่ไก่กาเลยสักนิด ทั้งซีจีและดนตรีประกอบยังช่วยเร้าอารมณ์ได้มากกว่าการตัดต่อและการถ่ายทำที่ตามมาตรฐานหนังเน็ตฟลิกซ์จริง ๆ

Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์รวมดาวฮอลลีวู้ด เหมาะสำหรับคนอยากดูการแสดงของดาราคับคั่งที่คุ้นหน้าและคอนเซปต์ที่ดูมีของ ทะเยอทะยานในการล้อเลียนวันสิ้นโลก แต่ไปไม่ได้แบบที่หวัง ด้วยการเล่าเรืองที่เอื่อยเฉื่อย การตัดต่อชวนหลับ ขาดรสชาติและดูชี้นำประเด็นทางสังคมจนหลงลืมการนำเสนอตัวละครที่ชัดเจนและเต็มไปด้วยฉากที่ไม่จำเป็นกับเรื่อง จริงอยู่ที่ประเด็นของเรื่องสังคมและการรักโลกอาจพอสื่อถึงผู้ชม แต่พอเนื้อเรื่องมันพอดูผ่านไปและดูแห้งแล้ง ไม่น่าตื่นเต้นหรือตลกเท่าที่ควร มันจึงไม่ทำงานทางอารมณ์ นอกจากหงุดหงิดไปกับการเสียดสีที่หนังทำให้กล้าพูดเลยว่า ถ้ารัฐบาลอเมริกาเป็นแบบในเรื่องจริง โลกก็ชิบหายเพราะการบริหารที่โอ๋คนรวย มองข้ามคนจน ก็ทำให้รู้สึกภาวนาให้รัฐบาลฉลาดกว่านี้จริง ๆ ถือว่าอย่าคาดหวังอะไรมาก อย่างน้อยหนังที่สามารถแสดงให้เห็นว่า เน็ตฟลิกซ์สามารถสร้างหนังไซไฟอเมริกันฟอร์มยักษ์ที่ดีกว่าสตูดิโอฉายโรงได้เหมือนกัน แต่ยังต้องปรับปรุงต่อไปอยู่ดี ถือเป็นงานที่คนที่ชอบการเสียดสีสังคมคงโดนใจ แต่สำหรับคนทั่วไป คงไม่ใช่ทางมากนัก หนังเรื่องนี้จัดอยู่ในเรต 18 บวก ผู้ชมอายุต่ำกว่าควรได้รับคำแนะนำจากคนอายุมากกว่า

ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์

ข้อมูลอ้างอิง

playinone รีวิวหนังดี ซีรีส์ Netflix Apple TV HBO Amazon Prime 2019-2020